วันอาทิตย์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ว่าด้วยเรื่องราวของตับ - จากการบรรยายของรองศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต ถิ่นคำรพ อาจารย์สอนคณะ/วิทยาลัยแพทย์ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น

"ไถ่ชีวิตตนเอง" 

ว่าด้วยเรื่องราวของตับ
ข้อมูลต่อไปนี้ เก็บความ/เรียบเรียงมาจากการบรรยายของ รองศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต ถิ่นคำรพ อาจารย์สอนคณะ/วิทยาลัยแพทย์ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น บรรยาย ณ สวนน้ำฟ้า เมื่อครั้งที่ท่านมาเข้าร่วมการล้างพิษตับ

ตับ เป็นอวัยวะสำคัญที่พบในร่างกายคนเรา อยู่ในช่องท้องซีกขวาด้านบนใต้กระบังลม มีหน้าที่กำจัดพิษในกระบวนการย่อยอาหาร การสังเคราะห์โปรตีน และการผลิตสารชีวเคมีต่างๆที่จำเป็นในกระบวนการย่อยอาหาร โดยผลิตน้ำดีซึ่งเป็นสารประกอบอัลคาไลน์ผลิตโดยขบวนการผสมกับไขมันเพื่อช่วยย่อยอาหาร 

ตับ ถือเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกายเราและแข็งแกร่งอดทนมาก แม้ว่าจะถูกตัดทิ้งเหลือตับอยู่เพียง 15-20% ก็ยังสามารถอยู่ต่อทำงานได้

เนื้อเยื่อของตับ มีความเป็นพิเศษอย่างมากเพราะตับทำหน้าที่สำคัญๆ เยอะมาก และทำอย่างไม่บ่นด้วย นั่นคือ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง ตับไม่เคยแสดงอาการเหนื่อย (ผิดปกติ) ให้เจ้าของตับรู้ ดังนั้นกว่าเจ้าของจะรู้ว่า ตับแย่ ก็มักสายเกินแก้ไขแทบทุกราย

จริงๆ แล้ว เมื่อเกิดมาพร้อมกับเจ้าของตับก็รู้หน้าที่ของตนและทำงานอย่างซื่อสัตย์และอุทิศตัว 

แต่ผู้ที่สร้างปัญหาให้แก่ตับก็คือ เจ้าของ 

ปัญหาทุกอย่างที่เกิดกับตับ เกิดจาก ต้นทาง คือ อาหารที่เจ้าของตับเอาใส่เข้าไปในปาก

ปากและลิ้นที่มีความยาวแค่หนึ่งคืบ คือต้นทางที่เจ้าของอยากเอาใจ/สนองความอยากโดยไม่สนใจว่ามันจะมีคุณค่าต่อส่วนต่างๆของร่างกายหรือไม่ แถมยังเพิ่มงานที่หนักอยู่แล้วให้แก่ตับโดยไม่จำเป็น

เมื่อตับรับไม่ไหว ก็จะทำให้เจ้าของมีอาการเบาหวาน ทำให้ตาบอด ต่อมาก็ไตชำรุดจนต้องฟอกล้าง และแย่ที่สุดก็เดือดร้อนถึงตีนที่ต้องถูกตัดทิ้ง (ตามสูตรสำเร็จที่หมอพากันท่องจำ ตับ ตา ไต ตีน)
มีข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกว่า ประเทศไทยมีอัตราการตายจากโรคมะเร็งสูงเป็นอันดับ 1 ติดต่อกันมานับ 10 ปี และสูงขึ้นทุกปี ปีละ 60000 คน
โดยเฉพาะพี่น้องคนอีสาน เป็นมะเร็งท่อน้ำดีมากที่สุด
ส่วนไต นั้น ก็ไล่หลังมา ยอดการล้างไตของไทยเพิ่มสูงขึ้น ปัจจุบันมีคนรอคิวล้างไตเป็นล้าน
เฉพาะอัตราการป่วยของ ประชาชน คนไทย ในเรื่องไต (การฟอกไต) เพียงโรคเดียวนี้ ก็อาจทำให้ประเทศไทยเราล่มสลายได้เลย หากไม่ทำอะไรสักอย่างภายใน 4-5 ปีข้างหน้า
แล้วเราจะทำอะไรด้ายยยยยยยยย
พึ่งระบบการศึกษา หรือ รัฐบาล?
อย่างแรก ต้องบอกว่า ยากเย็นเหลือแสน เพราะการศึกษาทุกวันนี้ สอน/เรียนสิ่งที่ไกลตัวมากกว่าเรื่องใกล้ตัว เช่น การกิน
ร้ายกว่านั้น คือ พวกที่รู้ดีแล้วแต่ก็ยังประพฤติปฏิบัติเหมือนกับชาวบ้านที่ไม่รู้อะไร เช่น หมอ ลงเวรมาดึกๆ ก็ฝากท้องไว้กับชายสี่หมี่เกี๊ยวนั่นแหล่ะเช้าขึ้นก็กาแฟ/ขนมปัง ชีส เนย ระหว่างวัน เค้ก /ไอศกรีม ตามด้วยน้ำชากาแฟอีก สรุปแล้ว กินน้ำตาลมากกว่า 6 ช้อนชาต่อวัน ซึ่งมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ
ส่วนชาวบ้านร้านถิ่นก็กินแป้งทุกมื้อ กินสุกๆ ดิบๆ อาหารมีผงชูรส ผงฟู น้ำมันทรานส์ ผักผลไม้ที่ปนเปื้อนสารเคมี น้ำตาลที่ล้นเกินแทบทุกวัน โดยเฉพาะทุกวันนี้มันสะดวกแบบสโลแกนที่ว่า "หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา"

จริงๆ แล้ว ร่างกายของเรานั้น รับสารพิษเข้าไปทุกวันทางจมูก/ลมหายใจ สัมผัส/ผิวหนังทุกวันอยู่แล้ว และเรายังเพิ่มเข้าทางปากอีกด้วย
คิดจะพึ่งรัฐบาลรึ?
รัฐบาลโดยผู้ที่มีหน้าที่ดูแลประชาชนด้านสุขภาพนั้น ส่วนใหญ่จะมีแนวคิดความเชื่อตามแพทย์ตะวันตก/สมัยใหม่ ที่รักษาด้วยยา
ดังนั้นอะไรก็ตามที่แย้งกับ (ความเชื่อ) ของวงการแพทย์แล้ว ก็จะไม่ยอมรับ (เช่น การล้างพิษตับ เป็นต้น) เพราะถ้ายอมรับแล้ว ก็เท่ากับว่าความรู้ที่หมอเรียนมา 6 ปี นั้นสู้วิธีการง่ายๆ แบบชาวบ้านไม่ได้
เช่น ในเคสของคุณจำนงที่ป่วยเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้ายแล้วมาเข้าค่ายล้างพิษพร้อมกับอาจารย์ ดร.บัณฑิต ท่านอาจารย์ได้ติดตามผลอย่างต่อเนื่อง ผลปรากฏว่า เวลาผ่านไปหลายปีจนปัจจุบันเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ แถมยังบวชเป็นพระ ไม่ได้ตายตามที่หมอใน รพ ระบุห้วงเวลา
เรื่องราวแบบนี้สื่อให้ใครได้ยาก นอกจากคนที่ไม่มีทางเลือก หรือ ทางออก และหมอเองก็อธิบายหรือหาคำตอบไม่ได้ แม้จะมี "หลักฐานเชิงประจักษ์" เกิดขึ้นแล้วก็ตาม
วิธีการรักษาเยียวยาแบบนี้จึงถูก สธ. สั่งระงับและไม่ให้การสนับสนุน ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้วิจัยหรือพิสูจน์ด้วยตนเองเลย ซึ่งไม่ยุติธรรมสำหรับชาวบ้าน
จริงๆ แล้ว รัฐบาลน่าจะให้ความสนใจในอะไรก็ได้ที่ทำแล้วหาย ทำแล้ว ประชาชน เลิกพฤติกรรมหรือหันหลังให้กับสิ่งที่เป็นพิษต่อตนเอง หรือ ที่จะทำให้ชาวบ้านพึ่งพาตนเองได้ ไม่ต้องเป็นภาระของรัฐบาล
การมองข้ามวิธีการรักษาแบบชาวบ้านเช่นนี้เองทำให้แพทย์ทางเลือกมีที่แทรกเข้าไปในแพทย์แผนปัจจุบันได้น้อย

ที่เป็นเช่นนี้อาจเพราะในระบบทุนนิยมนั้น เขาไม่ต้องการให้ ประชาชน พึ่งตนเองได้ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่ ประชาชน พึ่งตนเองได้ ทุนนิยม/บริษัทยาทั้งหลายก็หมดอนาคต


ในการวิจัยตัวยาบางชนิดนั้น ถ้าผลวิจัยออกมาไม่ดีบริษัทยามักจะไม่นำเสนอ หรือผลวิจัยที่ออกมาดี ประเภท กินเม็ดเดียวแล้วหาย แบบนี้ก็ไม่เอาออกมาเพราะกลัวว่าจะขายได้น้อย แต่จะเลือกเฉพาะผล/ตัวยาที่มีราคาแพงที่ ประชาชนต้องกินตลอดชีวิตออกมาสู่ตลาด
เมื่อเป็นเช่นนี้ประชาชนแต่ละคนจำเป็นต้องพึ่งตนเองให้ได้มากที่สุด
นั่น คือ หาความรู้ใส่ตัว/เอาใจใส่ร่างกายและรู้วิธีปฏิบัติตนในการทำให้สุขภาพแข็งแรง

เช่น ควรรู้ว่า กินข้าวมากในมื้อเช้า กินมื้อเที่ยงนิดหน่อย บ่ายๆ กินเบาๆ และเย็นงด (หนักเช้า เบาเที่ยง เลี่ยงเย็น)
รู้เรื่องกระบวนการย่อยอาหาร เช่น แป้งย่อยในปาก ด้วยน้ำลาย ดังนั้น จึงต้องเคี้ยวข้าวให้ละเอียด นานหน่อย เพื่อให้ข้าวอยู่ในปากนานๆ ก่อนกลืนลงคอ
เนื้อสัตว์/โปรตีนย่อยในกระเพาะ และเป็นอาหารที่ย่อยยากที่สุด ดังนั้นกระเพาะจึงต้องผลิตน้ำย่อย/เป็นกรดที่มีค่าถึง PH 2 (เอานิ้วมือแหย่ลงไปแล้วยกขึ้นจะเหลือแต่กระดูก)
ดังนั้น เมื่อกินเนื้อ/โปรตีนก็ไม่ควรกินผลไม้/ของหวาน เพราะของเหล่านี้ตามลงไปทันที เพราะกระเพาะจะไม่แย่งหน้าที่ของลำไส้เล็ก
แต่คนที่ไม่รู้/ไม่ตระหนัก นอกจากจะกินทั้งผลไม้และของหวานแล้วยังตามด้วยน้ำอีก ทำให้กระเพาะต้องทำงานหนักมากขึ้น เนื้อก็ย่อยได้ไม่ดีเพราะน้ำย่อยที่ควรเข้มข้นมีสิ่งอื่นมาปน เลยเกิดการบูดเน่า เลยมีพิษตกค้างในลำไส้อาจเกิดเป็นมะเร็งลำไส้ได้
ส่วนผักผลไม้/ของหวานนั้น ควรกินก่อนเนื้อ เพราะอาหารเหล่านี้ย่อยในความเป็นด่าง น้ำย่อยที่เป็นด่างนี้ผลิตโดยตับอ่อน
หลักๆ คือ คนแต่ละคนต้องพึ่งพาและดูแลตนเองในเรื่องอาหารการกิน 
พฤติกรรมที่ควรทำจนเป็นนิสัย คือ 1) กินน้ำก่อนกินข้าว 2) กินผักผลไม้/ของหวานก่อนกินเนื้อ 3) กินอาหารเสร็จ รออีก 30 นาที ค่อยกินน้ำตามลงไป
การล้างพิษตับในคนที่ยังไม่ป่วย จะทำให้รู้สึกดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน (ขอสนับสนุนคำพูดของ ดร.บัณฑิต เพราะตนเองก็รู้สึกสัมผัสได้ถึงความสบาย -- คนเล่า)
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ ได้ขับสารพิษในตับและอุจจาระที่ตกค้างในลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็ก (ยาว 5-10 เมตร)
ในการล้างพิษตับ ทำไมถึงมีการอดอาหาร เหตุผลคือ เพื่อให้กากอาหารที่มีอยู่ออกมาหมด (โดยทั่วไปนั้น กากอาหารจะตกค้างอยู่ในร่างกายเรา 36 ชั่วโมง หรือ วันครึ่ง ยกเว้นพวกเนื้อหรือโปรตีนที่นานกว่านี้)
ส่วนในคนที่ป่วยที่เรียกว่า "หูดับ ตับไหม้" มาทำแล้วหายนั้น (เช่น มาวันแรกนั่งรถเข็น วันสุดท้ายเดินได้ หรือแม้แต่โรคเอดส์นับร้อยรายก็หาย) เป็นสิ่งที่หมอเองก็อธิบายไม่ได้
ตย. เช่น มีรายหนึ่งเดินไม่ได้ นั่งรถเข็นตลอด ไปรักษาทุกที่เพราะมีเงิน แต่ไม่หาย พอมาล้างพิษตับ/อดอาหาร 58 วัน ปรากฏว่า หาย เดินได้ และแข็งแรง ปัจจุบันทำงานหนักได้ใช้ชีวิตปกติแล้ว)
เมื่ออธิบายไม่ได้ เลยเรียกมันว่า "มหัศจรรย์" จริงๆ แล้ว ระบบร่างกายของเราก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์อยู่แล้ว เราเพียงแต่มาช่วยทำสะอาดสิ่งแวดล้อมช่วยเขาหน่อย เพื่อให้เขาสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ดังนั้นค่าย "มหัศจรรย์ล้างพิษตับ" จึงเป็น "การไถ่ชีวิตคน" เป็นการทำบุญ เพราะช่วยยืดอายุให้แก่คน แม้เพียง 5 ปี 10 ปี แต่บางครั้งก็นานพอที่จะช่วยให้พ่อได้ส่งลูกเรียนจนจบมหาวิทยาลัยได้.

-ขอขอบคุณบทความของบ้านสวนน้ำฟ้า อ.กันทรลักษณ์ ศรีสะเกษ-  28/5/2560

.........................................................................................................................................................................
มหัศจรรย์ล้างพิษตับ รศ ดร บัณฑิต ถิ่นคำรพ ตอน1 ณ บ้านสวนน้ำฟ้า 17 ก.ค.59 https://www.youtube.com/watch?v=qxMJQXtVgvE&index=4&list=PLslKxB3ofdfXA-bnWEyWUMdAOumRypFsm