(ขอขอบคุณบทความดีๆ ที่ได้จากหลายแหล่งหลายที่ เพื่อการดูแลสุขภาพของตนเอง)
ร่างกายมีธรรมชาติของการระบายพลังงานที่เป็นพิษจำนวนมากออกทางมือเท้าอยู่แล้ว จะเห็นได้ว่าแพทย์โบราณหลายประเทศมีการกดจุดหรือขูดระบายพิษจากมือและเท้า
เมื่อคนเราใช้มือและเท้าในกิจวัตรประจำวัน กล้ามเนื้อเส้นเอ็นที่มือและเท้า ก็จะเกิดสภาพแข็งเกร็งค้าง ทำให้ขวางเส้นทางการระบายพิษจากร่างกาย การแช่ในน้ำอุ่น
จะช่วยให้กล้ามเนื้อเส้นเอ็นที่แข็งเกร็งค้างคลายตัว พลังงานที่เป็นพิษในร่างกายจึงจะระบายออกได้ดี ทำให้สุขภาพดีขึ้น
เมื่อคนเราใช้มือและเท้าในกิจวัตรประจำวัน กล้ามเนื้อเส้นเอ็นที่มือและเท้า ก็จะเกิดสภาพแข็งเกร็งค้าง ทำให้ขวางเส้นทางการระบายพิษจากร่างกาย การแช่ในน้ำอุ่น
จะช่วยให้กล้ามเนื้อเส้นเอ็นที่แข็งเกร็งค้างคลายตัว พลังงานที่เป็นพิษในร่างกายจึงจะระบายออกได้ดี ทำให้สุขภาพดีขึ้น
วิธีทำคือ
ให้ใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็น ประมาณ ครึ่ง- 1 กำมือ เช่น ใบเตย เบญจรงค์(อ่อมแซบ) ผักบุ้ง บัวบก ย่านาง รางจืด ใบมะขาม ใบส้มป่อย กาบหรือใบหรือหยวกกล้วย เป็นต้น
จะใช้สมุนไพรอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันก็ได้ ต้มกับน้ำ 1 ขัน (ประมาณ 1 ลิตร) เดือดประมาณ 5-10 นาทีแล้วผสมน้ำธรรมดาให้อุ่นแค่พอรู้สึกสบาย
ถ้าไม่มีสมุนไพรเลยก็ใช้น้ำเปล่าต้มให้เดือดแล้วผสมน้ำธรรมดา ให้อุ่นก็ได้ จากนั้นแช่มือแช่เท้า แค่พอท่วมข้อมือข้อเท้า 3 นาที แล้วยกขึ้นจากน้ำอุ่น 1 นาที ทำซ้ำจนครบ 3 รอบ
โดยทำวันละประมาณ 1-2 ครั้ง ถ้าไม่ค่อยมีเวลาทำเฉลี่ย สัปดาห์ละ 1-3 ครั้ง ถ้าใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็นต้มแล้วรู้สึกไม่สบายก็ปรับใช้สมุนไพรฤทธิ์ร้อนต้ม ถ้ารู้สึกสบายกว่า
ในกรณีที่ แช่น้ำต้มสมุนไพรแล้วมีอาการไม่สบาย ก็ให้งดเสีย แสดงว่าสภาพร่างกายตอนนั้นไม่ถูกกับน้ำอุ่น น้ำร้อน อาจแช่น้ำธรรมดาหรือน้ำสมุนไพรสดที่ไม่ผ่าน
ความร้อนแทน ถ้าทำแล้วรู้สึกสบาย โดยแช่นาน เท่าที่รู้สึกสบาย
ให้ใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็น ประมาณ ครึ่ง- 1 กำมือ เช่น ใบเตย เบญจรงค์(อ่อมแซบ) ผักบุ้ง บัวบก ย่านาง รางจืด ใบมะขาม ใบส้มป่อย กาบหรือใบหรือหยวกกล้วย เป็นต้น
จะใช้สมุนไพรอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันก็ได้ ต้มกับน้ำ 1 ขัน (ประมาณ 1 ลิตร) เดือดประมาณ 5-10 นาทีแล้วผสมน้ำธรรมดาให้อุ่นแค่พอรู้สึกสบาย
ถ้าไม่มีสมุนไพรเลยก็ใช้น้ำเปล่าต้มให้เดือดแล้วผสมน้ำธรรมดา ให้อุ่นก็ได้ จากนั้นแช่มือแช่เท้า แค่พอท่วมข้อมือข้อเท้า 3 นาที แล้วยกขึ้นจากน้ำอุ่น 1 นาที ทำซ้ำจนครบ 3 รอบ
โดยทำวันละประมาณ 1-2 ครั้ง ถ้าไม่ค่อยมีเวลาทำเฉลี่ย สัปดาห์ละ 1-3 ครั้ง ถ้าใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็นต้มแล้วรู้สึกไม่สบายก็ปรับใช้สมุนไพรฤทธิ์ร้อนต้ม ถ้ารู้สึกสบายกว่า
ในกรณีที่ แช่น้ำต้มสมุนไพรแล้วมีอาการไม่สบาย ก็ให้งดเสีย แสดงว่าสภาพร่างกายตอนนั้นไม่ถูกกับน้ำอุ่น น้ำร้อน อาจแช่น้ำธรรมดาหรือน้ำสมุนไพรสดที่ไม่ผ่าน
ความร้อนแทน ถ้าทำแล้วรู้สึกสบาย โดยแช่นาน เท่าที่รู้สึกสบาย
จากการเก็บสถิติ ณ ปัจจุบัน พบว่า
เมื่อแช่ในน้ำอุ่นพลังงานพิษที่อัดอยู่ในร่างกายจะเคลื่อนออกภายใน 3 นาที หลังจากนั้น พิษของน้ำอุ่นน้ำร้อนจะเคลื่อนเข้าไปทำร้ายร่างกาย เมื่อแช่น้ำอุ่นนานเกิน 3 นาที
จึงมักจะพบว่า มีอาการอ่อนเพลียหรือไม่สบายในร่างกาย หลายคนที่เคยมีประสบการณ์ไปแช่น้ำโป่ง เดือดหรือน้ำพุร้อน ถ้าแช่นานเกิน 3 นาที พอขึ้นมาจากการแช่
ก็มักจะมีอาการอ่อนเพลียหรือไม่สบายต่าง ๆ เพราะพิษจะเคลื่อนออกได้แค่ประมาณ 3 นาที จากนั้นพิษของน้ำอุ่นจะเคลื่อนเข้าทำร้ายร่างกาย
คนที่มีความรู้ก็จะแช่น้ำอุ่นแค่ 3 นาที แล้วขึ้นจากน้ำอุ่น 1 นาที เมื่อร่างกายเย็นดีแล้ว พลังงานพิษร้อนในร่างกายก็จะเคลื่อนสวนทางกับความเย็น เมื่อเราแช่ในน้ำอุ่นอีกครั้ง
กล้ามเนื้อก็จะคลายตัว พลังงานพิษร้อนก็จะเคลื่อนออกจากร่างกายได้มาก
ผู้เขียนพบว่า พิษสามารถเคลื่อนออกได้มากเพียง 3 รอบ ถ้าเรายังแช่น้ำอุ่นต่ออีก พิษน้ำอุ่นก็จะเคลื่อนเข้าไปทำร้ายร่างกาย
ข้อมูลจากหนังสือเรื่อง ยอดยาดีสุขภาพดีวิถีพุทธ
................................................................................................................................................................................................
เมื่อแช่ในน้ำอุ่นพลังงานพิษที่อัดอยู่ในร่างกายจะเคลื่อนออกภายใน 3 นาที หลังจากนั้น พิษของน้ำอุ่นน้ำร้อนจะเคลื่อนเข้าไปทำร้ายร่างกาย เมื่อแช่น้ำอุ่นนานเกิน 3 นาที
จึงมักจะพบว่า มีอาการอ่อนเพลียหรือไม่สบายในร่างกาย หลายคนที่เคยมีประสบการณ์ไปแช่น้ำโป่ง เดือดหรือน้ำพุร้อน ถ้าแช่นานเกิน 3 นาที พอขึ้นมาจากการแช่
ก็มักจะมีอาการอ่อนเพลียหรือไม่สบายต่าง ๆ เพราะพิษจะเคลื่อนออกได้แค่ประมาณ 3 นาที จากนั้นพิษของน้ำอุ่นจะเคลื่อนเข้าทำร้ายร่างกาย
คนที่มีความรู้ก็จะแช่น้ำอุ่นแค่ 3 นาที แล้วขึ้นจากน้ำอุ่น 1 นาที เมื่อร่างกายเย็นดีแล้ว พลังงานพิษร้อนในร่างกายก็จะเคลื่อนสวนทางกับความเย็น เมื่อเราแช่ในน้ำอุ่นอีกครั้ง
กล้ามเนื้อก็จะคลายตัว พลังงานพิษร้อนก็จะเคลื่อนออกจากร่างกายได้มาก
ผู้เขียนพบว่า พิษสามารถเคลื่อนออกได้มากเพียง 3 รอบ ถ้าเรายังแช่น้ำอุ่นต่ออีก พิษน้ำอุ่นก็จะเคลื่อนเข้าไปทำร้ายร่างกาย
ข้อมูลจากหนังสือเรื่อง ยอดยาดีสุขภาพดีวิถีพุทธ
................................................................................................................................................................................................
มีข้อมูลอ้างอิงจากแหล่งอื่นๆ คือ ...
>> ลู่อิ๋ว ค.ศ. 1125 - 1210 กวีใหญ่สมัยราชวงศ์ซ่งใต้ เป็นผู้หนึ่งซึ่งนิยมการแช่เท้าในน้ำร้อนก่อนเข้านอน ดังจะเห็นได้จากบทกลอนของท่าน ดังนี้
"เมื่อย่างเข้าสู่วัยชรา ทำไร่ไถนาคงไม่ไหว
เลี้ยงเป็ดเลี้ยงหมูพอสู้ได้ มิเคยอยู่ว่างอย่างเปล่าดาย
ค่ำลงก่อนนอนพักผ่อนกาย ลูกหลานหญิงชายช่วยดังหมาย
รับใช้ ปู่ ตา พาสบาย ต้มน้ำร้อนให้แช่เท้าเอย"
- ล้างเท้าในฤดูใบไม้ผลิ จะช่วยให้หยางพัฒนา
- ล้างเท้าในฤดูร้อน จะช่วยขจัดความชื้น
- ล้างเท้าในฤดูใบไม้ร่วง จะช่วยให้ปอดและลำไส้ชุ่มชื่น
- ล้างเท้าในฤดูหนาว จะเพิ่มความอุ่นในตันเถียน(บริเวณในท้องต่ำกว่าสะดือประมาณ ๒ นิ้ว)
(คำว่า ล้างเท้านั้นแปลตามรูปศัพท์ ความหมายจริงคือแช่เท้า)
>> ความเห็นของการแพทย์ของจีนและแพทย์แผนปัจจุบัน
การแพทย์ของจีนชี้ให้เห็นว่า อวัยวะภายในร่างกาย ล้วนแต่มีความเกี่ยวพันกับเท้า จุดแทงเข็มบนเท้าทั้งหมดมี ๖๐ กว่าแห่ง การแช่เท้าในน้ำร้อนมีผลในการเร่งให้เลือดลมเดินคล่องเส้นเอ็นแผ่ขยายจึงช่วยบำรุงอวัยวะภายใน ทำให้ยินและหยาง (ภาวะตรงข้ามที่เป็นคู่กัน)
ในร่างกายของคนเราได้สมดุลกัน จึงสามารถขจัดโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้สุขภาพสมบูรณ์ได้
แพทย์แผนปัจจุบันเห็นว่า ที่ฝ่าเท้าของคนเรา มีเส้นโลหิตกระจายกันมากมาย การแช่เท้าในน้ำร้อนจะทำให้เส้นโลหิตฝอยขยายตัวกระตุ้นให้โลหิตหมุนเวียนเร็วขึ้น สนองสิ่งบำรุงให้แก่เท้ามากขึ้น ทำให้กระบวนการรุเก่ารับใหม่ของส่วนขาพัฒนาขึ้นคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อส่วนขาขจัดความเมื่อยล้าได้
เลี้ยงเป็ดเลี้ยงหมูพอสู้ได้ มิเคยอยู่ว่างอย่างเปล่าดาย
ค่ำลงก่อนนอนพักผ่อนกาย ลูกหลานหญิงชายช่วยดังหมาย
รับใช้ ปู่ ตา พาสบาย ต้มน้ำร้อนให้แช่เท้าเอย"
- ล้างเท้าในฤดูใบไม้ผลิ จะช่วยให้หยางพัฒนา
- ล้างเท้าในฤดูร้อน จะช่วยขจัดความชื้น
- ล้างเท้าในฤดูใบไม้ร่วง จะช่วยให้ปอดและลำไส้ชุ่มชื่น
- ล้างเท้าในฤดูหนาว จะเพิ่มความอุ่นในตันเถียน(บริเวณในท้องต่ำกว่าสะดือประมาณ ๒ นิ้ว)
(คำว่า ล้างเท้านั้นแปลตามรูปศัพท์ ความหมายจริงคือแช่เท้า)
>> ความเห็นของการแพทย์ของจีนและแพทย์แผนปัจจุบัน
การแพทย์ของจีนชี้ให้เห็นว่า อวัยวะภายในร่างกาย ล้วนแต่มีความเกี่ยวพันกับเท้า จุดแทงเข็มบนเท้าทั้งหมดมี ๖๐ กว่าแห่ง การแช่เท้าในน้ำร้อนมีผลในการเร่งให้เลือดลมเดินคล่องเส้นเอ็นแผ่ขยายจึงช่วยบำรุงอวัยวะภายใน ทำให้ยินและหยาง (ภาวะตรงข้ามที่เป็นคู่กัน)
ในร่างกายของคนเราได้สมดุลกัน จึงสามารถขจัดโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้สุขภาพสมบูรณ์ได้
แพทย์แผนปัจจุบันเห็นว่า ที่ฝ่าเท้าของคนเรา มีเส้นโลหิตกระจายกันมากมาย การแช่เท้าในน้ำร้อนจะทำให้เส้นโลหิตฝอยขยายตัวกระตุ้นให้โลหิตหมุนเวียนเร็วขึ้น สนองสิ่งบำรุงให้แก่เท้ามากขึ้น ทำให้กระบวนการรุเก่ารับใหม่ของส่วนขาพัฒนาขึ้นคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อส่วนขาขจัดความเมื่อยล้าได้
>> วิธีแช่เท้าในน้ำร้อน
วิธีแช่เท้าในน้ำร้อน คือ ในขั้นแรกใช้น้ำที่มีอุณหภูมิราว ๔๐ - ๕๐ ํ C ปริมาณพอท่วมนิ้วเท้า แช่ไว้สักครู่จึงค่อย ๆ เติมน้ำเพิ่มจนสูงถึงกระดูกข้อเท้า อุณหภูมิของน้ำราว ๖๐ ํ C ขณะที่เท้าแช่อยู่ในน้ำ ให้สองเท้าเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง หรือเอาสองเท้าถูกันไปมาเพื่อให้เลือดหมุนเวียน
ไม่ควรแช่เท้านานเกิน ถ้าแช่นานเกิน 10-20 นาที ควรจะใช้ผ้าชุบน้ำร้อนหรือน้ำเย็นโพกศรีษะ เพื่อช่วยระบายความร้อนออกทางศรีษะ หลังจากนั้น ยกเท้าขึ้นจากน้ำแล้วเช็ดให้แห้ง พร้อมที่จะเข้าสู่นิทรารมณ์ด้วยความสงบสบาย
>> จากสัมผัสใต้ฝ่าเท้าดูแลสุขภาพของคุณได้อย่างไร
เท้า คืออวัยวะที่คนทั่วไป อาจนึกรังเกียจว่าเป็นของต่ำ แต่หารู้ไม่ว่าเท้าเป็นอวัยวะที่สำคัญ ที่บ่งบอกถึงสภาพภายในร่างกายว่าปกติหรือมีโรคภัยไข้เจ็บใดๆ แทรกแซงหรือไม่
การนวดเท้า ถือว่าเป็นวิชาการบำบัด ที่มหัศจรรย์มากที่แสดงถึงปฏิกิริยาสะท้อนกลับที่นำเอาความสัมพันธ์ต่อเนื่องของอวัยวะในร่างกายมาใช้ประโยชน์ที่บริเวณเท้าและข้อเท้า แนวความคิดเกี่ยวกับการนวดโดยการกดที่บริเวณที่มีปฏิกิริยาตอบสนองนั้น ได้เริ่มขึ้นในจีนกว่า 2,000 ปีที่แล้ว และได้แพร่ขยายเข้าไปในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา มาจนกระทั่งทุวันนี้ ในศตวรรษที่ 20 ศิลปะแห่งการนวดโดยวิธีการกดจุดที่ฝ่าเท้า ได้รับการพัฒนาปรับปรุงจนได้รับการยอมรับโดยทั่วไป
ที่ฝ่าเท้าของมนุษย์เรานั้น มีจุดหรือบริเวณที่เราสามารถกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองต่ออวัยวะภายในนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ฝ่าเท้า ซึ่งเปรียบเสมือนร่างกายของมนุษย์โดยย่อ จุดสัมผัสบนฝ่าเท้า. . . มีความสัมพันธ์กับอวัยวะต่างๆ เกือบทุกส่วนในร่างกาย
ในปัจจุบันแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ในประเทศเยอรมันและสหรัฐอเมริกา ได้ค้นพบว่าร่างกายของคนเราสามารถแบ่งพื้นที่ออกเป็น 10 ส่วน แต่ละส่วนจะไปสิ้นสุดที่ปลายนิ้วมือและนิ้วเท้าของแต่ละนิ้ว ต่อมาพบว่าเมื่อกระตุ้นตำแหน่งต่างๆ ที่ฝ่าเท้าสามารถทำให้มีการเปลี่ยนแปลงในการทำงานของอวัยวะต่างๆ ได้ แสดงว่ามีการติดต่อระหว่างพื้นที่ย่อยๆ ที่ฝ่าเท้ากับอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย
>> ฝ่าเท้า คือ ?
ฝ่าเท้า คือ พื้นที่สะท้อนกลับของอวัยวะนั้นๆ ฝ่าเท้าสามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ...
ส่วนที่ 1 บริเวณนิ้วหัวแม่เท้า เป็นพื้นที่สะท้อนกลับของศีรษะ
ส่วนที่ 2 กลางฝ่าเท้า เป็นพื้นที่สะท้อนกลับของทรวงอกและช่องท้อง
ส่วนที่ 3 ส้นเท้า เป็นพื้นที่สะท้อนกลับของอวัยวะใต้ท้องน้อยและเชิงกราน
เท้ามีความสำคัญมาก เพราะเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่ต้องทำงานหนักมาทั้งวัน การดูแลฝ่าเท้าจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก ไม่ว่าจะเป็นการแช่น้ำอุ่นหรือนวดกดจุดก็ตาม คนไทยส่วนใหญ่ อาจจะไม่คุ้นเคยกับการเอาเท้าแช่น้ำอุ่นทุกวันหลังจากเลิกงานกลับมาบ้าน แต่ผู้คนในเมืองหนาวจำนวนมากจะทำแบบนั้น ไม่ใช่เพียงเพื่อให้เท้าหายจากความหนาวเหน็บเท่านั้น แต่เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อเท้าอีกด้วย
การดูแลเท้า และฝ่าเท้า
เริ่มต้นจากการแช่เท้าในน้ำอุ่นที่ผสมด้วยสมุนไพรแช่เท้า AROMATIC FOOT BATH ซึ่งอุดมไปด้วยสมุนไพรธรรมชาติ ตะไคร้หอม ขิง ขมิ้นชัน ไพล และสมุนไพรบำรุงผิวอื่นๆ ซึ่งมีฤทธิ์ต่อต้านแบคทีเรีย เชื้อรา แก้แพ้ อาการคันและกำจัดกลิ่นอันที่เท้าได้
การแช่เท้าในน้ำอุ่น ผสมสมุนไพรแช่เท้า เป็นการดูแลเท้าในเบื้องต้น หลังจากนั้นควรกดจดฝ่าเท้าด้วยตนเองเป็นประจำทุกวัน เพื่อปรับสภาพการทำงานของอวัยวะต่างๆ ของร่างกายและกระตุ้นระดับฮอร์โมนเพศให้สมดุลย์
การนวดกดจุดฝ่าเท้า
ควรนวดกระตุ้นพื้นที่สะท้อนของเส้นประสาทช่องท้อง (บริเวณ กลางฝ่าเท้า) ก่อนทุกครั้ง 3-5 นาที แล้วจึงนวดกดจุดอื่นๆ ต่อไปจึงจะได้ผลดี
>> พิจารณาความหมายทางการแพทย์จีนได้สารพัด เช่น เท้าคือส่วนหนึ่งของร่างกาย
เท้าคือส่วนที่สัมพันธ์กับเส้นลมปราณกับเส้นลมปราณ ที่เชื่อมโยงกับขาด้านในเข้าสู่อวัยวะภายในอุ้งเชิงกราน ช่องท้องหน้าอก ลำคอ ศรีษะ เรียกว่า เท้าเชื่อมกับส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทุกส่วนรวมถึงอวัยวะภายใน เท้าเป็นทางผ่านของเส้นลมปราณอย่างน้อย 6 เส้น
ถ้าพิจารณาแต่ตัวเท้า ยังถือว่าเท้ามีส่วนที่สะท้อนและสัมพันธ์กับอวัยวะภายใน มีตำแหน่งต่าง ๆ ที่สามารถมีอิทธิพลกับร่างกายส่วนต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน มีคำกล่าวที่ว่า "ศรีษะร้อน เท้าเย็น ชีวิตไม่ยืนยาว" "ศรีษะเย็น เท้าร้อน ยมบาลก็หมดปัญญาที่จะเอาไป" นี่เป็นประโยคหนึ่งที่แพทย์แผนจีนบันทึกไว้ในสมัยราชวงค์ชิง เจิง กัว ฝาน แม่ทัพนามกระฉ่อนที่ปราบปรามพวกกบฎไทผิงจะดูแลสุขภาพตนเองทุกคืนก่อนนอน ด้วยการแช่เท้าในน้ำร้อนเขาทำเช่นนี้ต่อเนื่อง เมื่อเขาอายุ 50 ปีผ่านศึกมามากมายสภาพร่างกายยังแข็งแรง
>> ข้อดีของการแช่เท้าด้วยน้ำร้อน
1. การแช่เท้าด้วยน้ำร้อนสามารถป้องกันมือเท้าเย็น โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว โดยผู้ที่มีภาวะเท้าเย็น
2. การแช่เท้าในหน้าร้อนจะกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด จากปลายเท้าไปทั่วร่างกายทำให้ลดอาการเมื่อยล้า เกิดการผ่อนคลายร่างกาย จิตใจ ปรับกระบวนการย่อยสลายอาหารเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานของร่างกาย
3. คนที่ปลายเท้าปวด ชา หรือปวดขา ปวดเข่า สามารถแช่น้ำร้อนลดอาการอักเสบ (ยกเว้นในขณะที่บวมอักเสบ หรือมีการติดเชื้อ) ลดปวดได้
4. คนที่มีอาการเย็นบริเวณท้องน้อย หน้าท้องเกี่ยวข้องกับปวดประจำเดือน ขาไม่มีแรง ปวดท้องกระเพาะอาหาร ลำไส้ อาจแช่ในระดับน้ำสูงขึ้นเหนือเข่าช่วยทำให้ผ่อนคลาย นอนหลับสบาย
2. การแช่เท้าในหน้าร้อนจะกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด จากปลายเท้าไปทั่วร่างกายทำให้ลดอาการเมื่อยล้า เกิดการผ่อนคลายร่างกาย จิตใจ ปรับกระบวนการย่อยสลายอาหารเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานของร่างกาย
3. คนที่ปลายเท้าปวด ชา หรือปวดขา ปวดเข่า สามารถแช่น้ำร้อนลดอาการอักเสบ (ยกเว้นในขณะที่บวมอักเสบ หรือมีการติดเชื้อ) ลดปวดได้
4. คนที่มีอาการเย็นบริเวณท้องน้อย หน้าท้องเกี่ยวข้องกับปวดประจำเดือน ขาไม่มีแรง ปวดท้องกระเพาะอาหาร ลำไส้ อาจแช่ในระดับน้ำสูงขึ้นเหนือเข่าช่วยทำให้ผ่อนคลาย นอนหลับสบาย
>> วิธีการแช่น้ำร้อนกับการปฏิบัติตัว
1. ควรแช่น้ำร้อนอุ่นอุณหภูมิอุ่นพอทนได้ก่อนนอน
2.อาจจะใช้การนวดกดจุดควบคู่ไปด้วยเช่น จุดหย่งเฉวียน(จุดเส้นไต) เป็นต้น
2.อาจจะใช้การนวดกดจุดควบคู่ไปด้วยเช่น จุดหย่งเฉวียน(จุดเส้นไต) เป็นต้น
>> เพิ่มเติม จุดหย่งเฉวียน อยู่ตรงไหน
ตำแหน่ง หย่งเฉวียนงอนิ้วเท้าทั้งห้าเข้าหาอุ้งเท้าที่อุ้งเท้าจะปรากฏรอยบุ๋ม จุดจะอยู่ตรงกลางรอยบุ๋มนี้ (รูปที่ 1)
รูปที่ 1จุดหย่งเฉวียนนี้ การแพทย์จีน อธิบายว่าเป็นจุดบนเส้นขาเส้ายินไต ซึ่ง เป็นเส้นที่ทอดจากปลายนิ้วก้อยด้านฝ่าเท้า ผ่านจุดหย่งเฉวียนขึ้นไปตามขาด้านใน ผ่านท่อปัสสาวะไปยังไตแล้วผ่านไปยังปอด ขึ้นไปที่คอด้านหน้าและโคนลิ้น เป็นเส้นที่เชื่อมโยงไตและกระเพาะปัสสาวะ (รูปที่ 2)รูปที่ 23. ถ้ามีการอักเสบของเท้าบวมแดงหรือเป็นแผลหรือแช่น้ำร้อนแล้วรู้สึกมีอาการกำเริบ ปวดเท้าบริเวณที่อักเสบมากขึ้นควรงดการแช่เท้าทันที
4. เวลานอนหลับ ควรห่มผ้าห่มบริเวณหน้าอกและท้องและปลายเท้าให้อบอุ่นเสมอ เพราะปลายเท้าเย็น จะส่งผลถึงช่องท้องถ้าผู้ที่ปัญหาด้านทางเดินหายใจต้องเพิ่มความอบอุ่นของ คอ แขน ขา ด้วย เพราะแขนขาจะมีเส้นลมปราณที่เกี่ยวข้อง กับปอดและทางเดินหายใจส่วนบนด้วย
>> เทคนิคการทำให้ "ศรีษะเย็น ปลายเท้าร้อน"มีความหมายมากในทางการแพย์จีนมีผู้ป่วยจำนวนมากที่มีปัญหาเท้าเย็น แต่ส่วนบนของลำตัวศรีษะร้อน หรือผู้ป่วยบางรายมีมือเท้าเย็น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัญหาที่เกิดจากความเสียสมดุลของหยินหยางและเป็นพื้นฐานของระบบภูมิต้านทานร่างกายต่ำบางรายศีระษะส่วนบนร้อนมากเนื่องจากภาวะหยางในร่างกายขึ้นสู่เบื้องบนก็จะเกิดอาการความดันสูง เวียนศีรษะ แสบตา หลอดเลือดสมองแตกร้อนหงุดหงิด นอนไม่หลับ หูมีเสียงปลายเท้าที่เย็นทางการแพทย์จีน ถือว่า ไตพร่องไม่มีแรง ผลระยะยาวทำให้เมื่อยเอว เข่าไม่มีแรง เสื่อมสมรรถนทางเพศแก่เร็ว ขี้หนาวการทำงานของร่างกายลดลง เป็นต้นคนที่มีสุขภาพดี เท้าต้องอุ่น หนักแน่นมีกำลัง ศีรษะไม่ร้อน ไม่หงุดหงิด ไม่หนัก ตาต้องไม่แดงก่ำ การแช่เท้าด้วยน้ำร้อน จึงเป็นวิธีและเคล็ดลับที่ง่าย สะดวก ประหยัด ปลอดภัยแหล่งข้อมูล:
http://www.doctor.or.th/node/6631
หนังสือ คลีนิค แพทย์จีน โดย นายแพทย์ภาสกิจ(วิทวัส) วัณณาวิบูล************************************
"พบกับ Blog รูปโฉมใหม่ของบ้านสุขภาพเขาใหญ่และบ้านสุขภาพปทุมธานี
ได้ที่ http://บ้านสุขภาพล้างพิษตับ.blogspot.com/"